วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

บทที่ 1
บทนำ

1.ที่มาและความสำคัญ

ดอกทานตะวันหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ เป็นการตอบสนอง คือการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นเพียงด้านเดียว เกิดจากฮอร์โมน ออกซิน (Auxin)เพราะแสงมีอิทธิพลทำให้การกระจายตัวของ(ออกซิน)เปลี่ยนแปลงไปจากปกติเมื่อแสงส่องมายังพืชด้านที่ได้รับแสงจะมีออกซินน้อยเพราะออกซินได้หนีไปอยู่ด้านที่มืดกว่า ด้านที่มืดจึงมีการยืดตัวและมีการเจริญเติบโตมากกว่าด้านที่รับแสง ยอดของพืชจึงโค้งเบนเข้าหาแสงจึงดูเหมือนว่าดอกทานตะวันหันหน้ามองพระอาทิตย์อยู่ตลอดเวลาซึ่งต่างจากแบบซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวหาแสง เช่น หญ้าแพรกดอกทานตะวันที่มีอายุน้อยจะหันหน้าหาดวงอาทิตย์จริงแต่ดอกทานตะวันที่แก่แล้วหรืออายุมากแล้วจะไม่สนใจดวงอาทิตย์เลย ยิ่งเป็นดอกที่เหี่ยวแล้วจะไม่หันหน้าไปหาดวงอาทิตย์เลย นั่นคือวันสุดท้ายที่มันจะยังมีแรงหันหน้าไปหาดวงอาทิตย์ได้ ก้จะเป็นเวลาตอนเย็นกลางคืนทิ้งช่วงไป 12 ชั่วโมง หลังจากนั้นรุ้งเช้าทานตะวันก็จะไม่หันหน้าหาดวงอาทิตย์อีก ดอกทานตะวันที่เหี่ยวสวนใหญ่จะหันหน้าไปทาง   (ทิศตะวันตก)นอกเสียจากลมจะพัดแรงทำให้หันไปทิศทางอื่น

จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเติบโตของดอกทานตะวัน
 2. เพื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความสามารถในการรับสารอาหารที่แตกต่างกัน

ตัวแปร
ตัวแปรต้น         วิธีการปลูก
ตัวแปรตาม        อัตราการงอกของเมล็ดทานตะวัน
ตัวแปรควบคุม    
จำนวนเมล็ด   ปริมาณน้ำ   ภาชนะ แสงแดด 

ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า
 1.สถานที่
สถานที่ศึกษา บ้านนายรัตตบุญ  แสงสวัสดิ์

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
                1.ทำให้ได้เรียนรู้ศึกษาในเรื่องการทำการเพาะปลูกต้นทานตะวัน
                2.ทราบว่าการควบคุมแสงและน้ำมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นทานตะวัน
               
















บทที่2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ทานตะวันชื่อวงศ์ COMPOSITAE ชื่อสามัญ Common Sunflower ชื่ออื่นๆ ทานตะวัน
 ถิ่นกำเนิด อเมริกาตะวันตก การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด 
ต้นทานตะวัน(www.thongthailand.com )
1.ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ทานตะวันลักษณะของลำต้นจะตรง สูงประมาณ 3-4 ฟุต แต่ถ้าปลูกในถิ่นที่มีอากาศเย็นอาจสูงได้ถึง 6 ฟุต ใบจะออกสลับกัน ลักษณะของใบกลมรีกว้างประมาณ 4-8 นิ้ว ยาว 1 ฟุต ขอบใบเป็นรอยจักฟันเลื่อย ปลายใบแหลม ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกบานเต็มที่โตประมาณ 5-10 นิ้ว มีสีเหลืองสดตรงกลางดอกมีเกสรเป็นวงเกือบเท่าตัวดอกกลีบดอกบานแผ่เป็นวงกลมทำให้เกสรดอกเด่นชัดขึ้น 
2.ลักษณะต้นทานตะวัน
ต้นทานตะวัน มีถิ่นกำเนิดและเป็นพรรณไม้พื้นเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยจัดเป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุประมาณ 1 ปี มีความสูงของต้นประมาณ 3-3.5 เมตร ลำต้นตั้งตรงเป็นสีเขียวแกนแข็ง ไม่มีการแตกแขนง (ยกเว้นบางสายพันธุ์) ตามต้นมีขนยาวสีขาวค่อนข้างแข็งปกคลุมตลอดส่วนรากเป็นระบบรากแก้วหยั่งลึกลงไปในดินประมาณ 150-270 เซนติเมตร มีรากแขนงค่อนข้างแข็งแรงและแผ่ขยายไปทางด้านข้าวได้ถึง 60-150 เซนติเมตร เพื่อช่วยในการคุ้นจุนต้น และสามารถใช้ความชื้นระดับผิวดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.ประโยชน์ต้นอ่อนทานตะวัน
 ต้นอ่อนทานตะวันมีสรรพคุณ บำรุงสุขภาพ ผิวพรรณ สายตา ชะลอความชรา บำรุงเซลล์สมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม อุดมไปด้วยวิตามิน บี 1 บี 6 วิตามินอี โอเมก้า3 , 6 , 9 และธาตุเหล็ก จากรายงานการวิจัยพบว่าต้นอ่อนทานตะวัน ปริมาณ 100 กรัม จะให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 500 กิโลแคลอรี่ ที่ประกอบไปด้วยโปรตีนไขมัน แคลเซียม สังกะสี คาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลอีกด้วย สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย ย่อยง่าย มีส่วนช่วยในการขับถ่าย
        เมล็ดทานตะวันงอก มากมายด้วยคุณค่าทางอาหาร  เมล็ดธัญพืชงอก ถือเป็นอาหารที่มีการนำมาบริโภคกันมานาน ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือถั่วงอก ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากถั่วเขียว โดยถั่วงอกมีการนำมาทำเป็นเมนูอาหารได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผัด ต้ม หรือทานสดๆและที่โด่งดังกันสุดๆ คือ ข้าวกล้องงอกที่อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสาร GABA (gamma aminobotyric acid) ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ช่วยมนการควบคุมน้ำหนักตัว และที่สำคัญช่วยบำรุงเซลล์ประสาท ทำให้สองเกิดการผ่อนคลาย ป้องกันการทำลายสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์นั่นเอง รวมไปถึงสารอาหารอื่นๆ เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินซี วิตามินอี ล่าสุดมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมล็ดธัญพืชอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเรารู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นคือ ทานตะวัน แต่ที่ผ่านมานั้นเรารู้จักประโยชน์ของเมล็ดทานตะวันของพืชที่มีดอกใหญ่ มีการสกัดน้ำมันจากเมล็ดโดยน้ำมันดอกทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงสามารถนำไปใช้ในการฟอกหนัง และประกอบอาหาร แต่ข้อมูลจากการศึกษาและวิจัยพบว่า ต้นอ่อนของเมล็ดทานตะวัน มีโปรตีนสูงกว่าถั่วเหลือง มีวิตามินเอ และวิตามินอีสูง บำรุงสายตา ผิวพรรณและชะลอความชรา มีวิตามิน บี 1 บี 6 โอเมก้า3 โอเมก้า6โอเมก้า9 ซึ่งช่วยบำรุงเซลล์สมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์) และธาตุเหล็กสูงนอกจากนี้ต้นอ่อนทานตะวัน ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกหลายตัวตัวด้วยกัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี โปรตีน ฯลฯ ต้นอ่อนทานตะวันจึงเหมาะในการนำมาปรุงเป็นอาหารสุขภาพอีกชนิดหนึ่ง โดยเมนูอาหารก็สามารถทำได้เหมือนถั่วงอก ไม่ว่าจะเป็น ผัด ต้ม ใส่ก๋วยเตี๋ยว ผัดพริกกับกุ้งเวลาผัดอย่าใช้เวลานาน ปรุงรสต่างๆ ก่อน เสร็จแล้วใส่ทานตะวันงอกลงไปกลับเร็วๆ สองสามที หากร้อนนานไปจะทำให้สีเขียวกลายเป็นสีคล้ำ
การงอกของเมล็ด
การงอกของเมล็ดพันธุ์หมายถึง การงอกและพัฒนาการของต้นอ่อนถึงขั้นที่โครงสร้างที่สำคัญของส่วนต่างๆของต้นอ่อน ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าจะสามารถเจริญเติบโตต่อไปเป็นต้นพืชที่ปกติ ภายใต้สภาพแวดล้อมในดินที่เหมาะสม (ISTA, 1999)อย่างไรก็ตาม การให้คำจำกัดความหรือการให้ความหมายการงอกของเมล็ดพันธุ์ของบุคคลในแต่ละสาขาอาชีพมีความแตกต่างกัน บุคคลโดยทั่วไปอาจจะมองว่าต้นอ่อนโผล่พ้นขึ้นมาเหนือดินก็แสดงว่าเมล็ดนั้นงอก สำหรับนักสรีรวิทยาเมล็ดพันธุ์ได้ให้ความหมายว่า เมื่อใดก็ตามที่เห็นรากโผล่ออกมา แสดงว่าเมล็ดพันธุ์งอก ส่วนนักวิทยาศาสตร์ทางด้านเมล็ดพันธุ์และนักวิชาการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการปลูกพืชกล่าวว่า การงอกของเมล็ดพันธุ์หมายถึง เริ่มตั้งแต่เมล็ดพันธุ์มีกระบวนการต่างเกิดขึ้นในเมล็ดที่กำลังอยู่ในระยะพัก จนถึงระยะที่ต้นอ่อนเจริญเติบโต และพัฒนาไปเป็นต้นกล้าที่แข็งแรง
1.ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ดพันธุ์
ปัจจัยที่จำเป็นต่อการงอกของเมล็ดพันธุ์ มีอยู่ 3 ปัจจัยคือ น้ำ ออกซิเจน และอุณหภูมิ เมื่อเมล็ดพันธุ์ได้รับปัจจัยดังกล่าวที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการ เมล็ดพันธุ์จะสามารถงอก และเจริญเติบโตเป็นต้นพืชที่แข็งแรงได้ ความสำคัญของแต่ละปัจจัยมีดังนี้
1.1 น้ำเมื่อเมล็ดพันธุ์เจริญเติบโตเต็มที่พร้อมจะเก็บเกี่ยว ภายในเมล็ดจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่น้อยมากเมื่อเมล็ดพันธุ์จะงอกน้ำเป็นปัจจัยแรกที่จะกระตุ้นให้เมล็ดพันธุ์ตื่นตัวกระตุ้นเกิดปฏิกิริยาเคมีและขบวนการเมแทบอลิซึมในเบื้องต้นเมล็ดพันธุ์ดูดน้ำเข้าไปทำให้เปลือกเมล็ดอ่อนนุ่มทำให้เมล็ดพองโตขึ้นเนื่องจากการขยายของผนังเซลล์และโพรโทพลาสต์เมื่อเปลือกเมล็ดอ่อนนุ่มทำให้รากแทงผ่านเปลือกได้สะดวกมากขึ้น เมล็ดพันธุ์พืชแต่ละชนิดต้องการน้ำสำหรับการงอกแตกต่างกัน บางชนิดหากได้รับน้ำมากเกินไปจะทำให้เมล็ดขาดออกซิเจนที่ใช้สำหรับหายใจและทำให้เมล็ดเน่า ในบางชนิดการที่เมล็ดพันธุ์ได้รับน้ำมากๆอาจจะทำให้เมล็ดเข้าสู่สภาวะพักตัวใหม่ สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการดูดน้ำของเมล็ดพันธุ์ ได้แก่ ความหนาของเปลือก สารที่เคลือบอยู่ที่ผิวเปลือก ความเข้มข้นของน้ำ อุณหภูมิ และการสุกแก่ของเมล็ดที่ต่างกัน เป็นต้น
1.2 ออกซิเจนออกซิเจนมีความสำคัญต่อขบวนการหายใจของเมล็ดพันธุ์ที่กำลังงอก เมล็ดพันธุ์ที่กำลังงอกต้องการพลังงาน และพลังงานนั้นได้จากขบวนการ oxidation โดยใช้ออกซิเจนคือ ขบวนการหายใจ เมล็ดพันธุ์ที่กำลังงอกจะมีอัตราการหายใจสูง เมื่อเทียบกับการหายใจในช่วงอื่นๆ และจะมีกิจกรรมการสลายและเผาผลาญอาหารที่เก็บสะสมไว้ เมล็ดพันธุ์โดยทั่วไปจะงอกในสภาพบรรยากาศปกติที่มีออกซิเจนประมาณ20 เปอร์เซ็นต์ และคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ0.03 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีเมล็ดพันธุ์พืชหลายชนิดที่งอกได้ในสภาพที่มีออกซิเจนต่ำกว่าปกติ เช่น พืชที่งอกได้ในน้ำ
เมล็ดพันธุ์ข้าวจะงอกได้ทั้งในสภาพที่มีออกซิเจนต่ำ (พืชน้ำ และสภาพที่มีออกซิเจนสูง ซึ่งลักษณะการงอกจะมีความแตกต่างกัน ในสภาพที่มีออกซิเจนต่ำจะงอกยอดอ่อนออกมาก่อน แล้วจึงงอกในส่วนของรากออกมาทีหลัง (จินดา,2514)และพลังงานที่ใช้ในการงอกจะมาจากกระบวนการ oxidation ที่ไม่ใช้ออกซิเจนคือขบวนการ fermentation เมล็ดที่งอกจึงทนต่อการสะสมแอลกอฮอล์หรือสารพิษที่เกิดจากขบวนการหมักได้จนกว่าต้นกล้าจะงอกขึ้นเหนือน้ำและได้รับออกซิเจนส่วนเมล็ดที่ต้องการออกซิเจนสูงสำหรับการงอกนั้นเมื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ดังเช่นในกรณีเมล็ดถูกฝังอยู่ลึกในดิน เมล็ดจะพักตัวจนกว่าจะมีการไถฟื้นขึ้นมาจึงจะสามารถงอกได้ตามปกตินอกจากนี้อัตราการใช้ออกซิเจนจะเป็นตัวชี้การเกิดขบวนการงอกและเป็นตัววัดความแข็งแรงของเมล็ดอีกด้วย
1.3 อุณหภูมิ มีความสำคัญมากต่อการควบคุมและอัตราการเกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมี ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชตามมา ด้วยความแตกต่างของชนิดและถิ่นกำเนิดของพืช ทำให้พืชมีความต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการงอกที่แตกต่างกัน เช่น พืชเขตหนาว เอนไซม์และปฏิกิริยาชีวเคมีในเมล็ดพันธุ์พืชเขตหนาวยังทำงานได้เมื่ออุณหภูมิใกล้จุดเยือกแข็ง และเมล็ดยังสามารถงอกได้ ในขณะที่ที่จุดเยือกแข็งจะเป็นอันตรายสำหรับการงอกของเมล็ดพันธุ์พืชเขตร้อน ถ้าอุณหภูมิสูงหรือต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ซึ่งเกินกว่าที่เมล็ดพันธุ์จะสามารถงอกได้ เมล็ดบางชนิดอาจจะมีการพักตัวหรือบางชนิดอาจจะเสียชีวิตได้ ดังนั้นเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดจะมีระดับอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดที่เมล็ดจะสามารถงอกได้แตกต่างกัน (ตารางที่ 1) อย่างไรก็ตามเมล็ดพันธุ์ยังมีการปรับตัวต่อช่วงอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดในรอบวัน คือ ถ้าอุณหภูมิกลางคืนและกลางวันมีความแตกต่างกันมาก เมล็ดพันธุ์จะงอกได้ดีกว่าการได้รับอุณหภูมิที่สม่ำเสมอตลอดเวลา เช่น หญ้า blue grass จะงอกได้ดีที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 8 ชั่วโมง และอุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 16 ชั่วโมง



ตารางที่ 1 อุณหภูมิระดับต่างๆที่เมล็ดพันธุ์พืชชนิดต่างๆสามารถงอกได้
ชนิดพืช
อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส)
ต่ำสุด
เหมาะสม
สูงสุด
ข้าว
10-20
20-30
40-42
ข้าวโพด
3-5
15-20
30-40
ข้าวบาร์เลย์
8-10
25
40-44
ข้าวสาลี
3-5
15-20
30-43
ถั่วเหลือง
8
20-35
40
มะเขือเทศ
20
20-30
35-40
ยาสูบ
10
24
30

นอกจากปัจจัย 3 ชนิดข้างต้นที่จำเป็นในการงอกของเมล็ดพันธุ์โดยทั่วไปแล้วยังมีเมล็ดพันธุ์บางชนิดที่ต้องการแสงสำหรับการงอก เช่น ปอกระเจา ผักกาดเขียวปลี ผักกาดหอม และพริก เป็นต้น เมล็ดพันธุ์บางชนิดอาจจะต้องการแสงเพียงเพื่อกระตุ้นการงอกในระยะใดระยะหนึ่งเท่านั้น สำหรับเมล็ดพันธุ์บางชนิดแสงจะเป็นตัวยับยั้งการงอก มีพืชบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถงอกได้ในที่ที่ไม่มีแสง  เช่น พืชตระกูลหอม หรือไม้หัว และพืชในกลุ่มไม้ดอกบางชนิด เช่น ฟล็อก พืชในกลุ่มนี้เมื่อได้รับแสงจะมี เปอร์เซ็นต์การงอกลดลง
1.4 แสง  ปัจจัยของแสงที่มีผลต่อการงอกของเมล็ดพันธุ์นั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแสงและระยะเวลาการให้แสงหรือช่วงแสง โดยทั่วไป ความเข้มแสงสำหรับการงอกอยู่ในช่วง 0.08ลักซ์ ถึง 5ลักซ์ ส่วนช่วงแสงในช่วง visible light พบว่าช่วงแสงที่กระตุ้นการงอกเป็นช่วงตั้งแต่ 660-700 นาโนเมตร ซึ่งก็คือแสงสีแดงมีผลต่อการงอกของเมล็ดพันธุ์มากที่สุด ช่วงที่กระตุ้นการงอกมากที่สุด คือที่ 670 นาโนเมตร และที่ความยาวของช่วงแสงมากกว่า 700 และสั้นกว่า 290 นาโนเมตร จะมีผลในการยับยั้งการงอกของเมล็ดพันธุ์ ในขณะเดียวกัน แสงสีน้ำเงินมักจะไม่มีผล เมื่อให้แสงสีแดงสลับกับแสงสีน้ำเงิน พบว่าการงอกของเมล็ดพันธุ์ขึ้นอยู่กับแสงสุดท้ายที่ได้รับ นอกจากนี้การตอบสนองของแสงต่อการงอกของเมล็ดพันธุ์ยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและระยะเวลาการดูดน้ำของเมล็ดด้วย
ตารางที่ 2 เมล็ดพันธุ์ที่ต้องการ และไม่ต้องการแสงสำหรับการงอก
เมล็ดพันธุ์ที่ต้องการแสง
เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ต้องการแสง
ยาสูบ
ปอกระเจา
สตรอเบอร์รี่
ผักกาดเขียวปลี
ผักกาดหอม
พริก
มะเขือ
มะเขือเทศ
ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง
งา ปอแก้ว
ถั่วเขียว ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วลาย ถั่วแขก ถั่วฝักยาว
กะหล่ำปลี ผักกาดกวางตุ้ง
ผักกาดขาวปลี ผักกาดหัว
แตงโม แตงกวา แตงเทศ
บวบเหลี่ยม  หอมหัวใหญ่
                (จวงจันท์, 2529)
2. การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีในระหว่างการงอกของเมล็ดพันธุ์
การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นในระหว่างการงอกของเมล็ดพันธุ์เกิดได้เนื่องจากมี
น้ำเข้าไปกระตุ้น กล่าวคือ เมล็ดพันธุ์เมื่อแก่เต็มที่และแห้งจะอยู่ในสภาวะเงียบคือ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น อัตราการหายใจ และการใช้พลังงานภายในเมล็ดพันธุ์เกิดขึ้นน้อยมาก ต่อเมื่อเมล็ดได้รับน้ำเข้าไป ส่งผลให้ขบวนการสังเคราะห์ต่างๆภายในเซลล์เริ่มทำงาน เพราะฉะนั้นขบวานการงอกของเมล็ดพันธุ์จึงเกี่ยวข้องกับขบวนการสังเคราะห์สารที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ ขบวนการย่อยสลาย และขบวนการลำเลียงสารอาหารที่เก็บสะสมไว้ นำไปใช้สำหรับการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอให้สามารถเจริญเติบโตเป็นต้นกล้าที่ปกติ ซึ่งขบวนการต่างๆสามารถอธิบายได้ดังนี้
2.1การสังเคราะห์สารที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ สารที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ ได้แก่ เอนไซม์ DNA และ RNA ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีนจะถูกชักนำในการสังเคราะห์เพิ่มขึ้นด้วย เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องได้มาจาก 2 แหล่งคือ เอนไซม์ที่ถูกสร้างขึ้นขณะเมล็ดกำลังเจริญเติบโตจะถูกกระตุ้นให้ทำงาน เนื่องจากการเข้าไปของน้ำ เช่น amylopectin และglucocidaseเอนไซม์ 2 ตัวนี้จะปรากฎขึ้นทันทีหลังจากเมล็ดพันธุ์ดูดน้ำ แหล่งที่สองได้จากการเริ่มสังเคราะห์ขึ้นใหม่ โดยผ่านการควบคุมของกรดนิวคลีอิค(nucleic acid) ที่เรียกว่า de novosyntersisโดยพบในเซลล์อะลิวโรน(aleulone) ในเมล็ดข้าวบาเลย์ เอนไซม์ที่สังเคราะห์ขึ้น ได้แก่ amylase, ribonuclease, protease และ lipase เป็นต้น พลังงานที่ต้องใช้ในการสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ได้มาจาก ATPซึ่งผลิตในไมโทคอนเดรียที่ตื่นตัวภายหลังจากเมล็ดได้รับน้ำเข้ามา การทำงานของไมโทคอนเดรียในการผลิต ATP ทำให้เมล็ดพันธุ์มีอัตราการหายใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับสภาพที่เมล็ดยังไม่งอก
2.2.1  การย่อยสลายสารอาหารที่สะสมในเมล็ดพันธุ์สารอาหารที่เมล็ดพันธุ์เก็บสะสม
ไว้ในส่วนเนื้อเยื่อสะสมอาหาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ที่สร้างขึ้นมา คาร์โบไฮเดรตจะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ hydrolase เช่น amylase และ phosphorylaseจากรูปน้ำตาลที่ละลายไม่ได้เป็นรูปน้ำตาลที่ละลายได้ โปรตีนถูกย่อยโดยเอนไซม์ protease ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ในระหว่างการงอกของเมล็ดพันธุ์ ได้กรดอะมิโน ส่วนการย่อยสลายไขมัน จะถูกย่อยโดยเอนไซม์ lipase ได้กรดไขมันและกลีเซอรอล การย่อยสลายอาหารที่เก็บสะสมไว้ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่แตกต่างกันดังนี้
2.2.1.1พืชใบเลี้ยงเดี่ยว เก็บสะสมอาหารไว้ในเอนโดสเปิร์ม ได้แก่ แป้ง และ
โปรตีน ซึ่งเก็บสะสมไว้ในรูปน้ำตาลที่ละลายได้ และเปปไทด์(peptides) ถูกเคลื่อนย้ายไปยังเอ็มบริโอเพื่อสร้างพลังงานและสร้างเอนไซม์เพื่อการเจริญเติบโตของต้นอ่อน
                        2.2.1.2 พืชใบเลี้ยงคู่ เก็บสะสมอาหารไว้ในใบเลี้ยง (cotyledon) มี 3 ชนิด คือ ลิปิด แป้ง และและโปรตีน ในรูปที่ 2 ลิปิดและแป้งถูกย่อยสลายที่ใบเลี้ยงจนได้เป็นน้ำตาลซูโครส (sucrose) ส่วนโปรตีนจะถูกย่อยสลายกลายเป็นเอไมด์(amides) ทั้งน้ำตาลซูโครสและเอไมด์ เมื่อถูกย่อยให้มีอนุภาคเล็กลงก็จะเคลื่อนย้ายเพื่อเป็นอาหารสำหรับการเจริญเติบโตและการพัฒนาของต้นอ่อนต่อไป
3.ลักษณะการงอกของเมล็ด แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
3.1. การงอกที่ชูใบเลี้ยงขึ้นมาเหนือดิน (Epigeal germination) รากอ่อนงอกโผล่พ้น
เมล็ดออกทางรูไมโครโพล์(micropyle) เจริญสู่พื้นดินจากนั้น ไฮโปคอติล(hypocotyl) จะงอกและเจริญยึดยาวตามอย่างรวดเร็ว ดึงส่วนของใบเลี้ยง(cotyldon) กับ เอปิคอติล(epicotyl) ขึ้นมาเหนือดิน เช่น การงอกของพืชในเลี้ยงคู่ต่าง ๆ
        3.2. การงอกที่ฝังใบเลี้ยงไว้ใต้ดิน (Hypogeal germination) พบใน พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชพวกนี้มีไฮโปคอติล(hypocotyl) สั้น เจริญช้า ส่วนเอปิคอติล(epicotyl) และยอดอ่อน (plumule) เจริญยืดยาวได้อย่างรวดเร็ว เช่น เมล็ดข้าว ข้าวโพด หญ้า ฯลฯ การพักตัวของเมล็ด (Dormancy) หมายถึง สภาพที่เอมบริโอในเมล็ดสามารถคงสภาพและมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่เกิดการงอก 























บทที่ 3
วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการทดลอง

วัสดุ-อุปกรณ์
1.  เมล็ดทานตะวัน
2.  น้ำอุ่น
3.  แก้วพลาสติก4ใบ
4.  ไม้บรรทัด
5.  ผ้าเช็ดตัวขนาด4ผืน
วิธีการทดลอง
1.นำเมล็ดทานตะวันมาแช่น้ำแล้วจึงค่อยนำไปปลูก      
2.นำเมล็ดทานตะวันอีกต้นหนึ่งมาปลูกโดยไม่แช่น้ำ
3.รดน้ำเช้าเย็นทุกวันทั้งสองต้นแล้วคอยสังเกตการณ์เจริญเติบโต
4.หลังโตพอสมควรให้ถ่ายรูปทำทุก 1 เดือน
















บทที่ 4
ผลการทดลอง
                    
จากการทดลองเรื่อง การเจริญเติบโตของต้นทานตะวัน ทำให้คณะผู้จัดทำได้สำรวจการเจริญเติบโตของดอกทานตะวัน จากการเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของสองต้นจะเห็นได้ดังนี้

วิธีการปลูก
ผลการทดลอง
เดือนที่ 1
เดือนที่ 2
เดือนที่ 3
แช่น้ำ
สูง 5 ซม.
สูง 16 ซม.
สูง 29 ซม.
ไม่แช่น้ำ
สูง 3 ซม.
สูง 12 ซม.
สูง 26 ซม.

                   จากการทดลองสรุปได้ว่า น้ำและแสงแดดมีผลต่อการเจริญเติบโตของดอกทานตะวันเป็นอย่างมากแต่ทานตะวันเป็นดอกไม้มี่ต้องการแดดมากจึงจะออกหลังจากทำการปลูก
















บทที่ 5
สรุปผลการทดลอง

สรุปผลการทดลอง
สรุปได้ว่าต้นทานตะวันที่ปลูกไว้กลางแสงแดดมีการเติบโตเร็วกว่าต้นที่อยู่ในที่ร่มโดนแสงน้อย
อภิปรายผลจากการวิเคราะห์
 1.ผลการศึกษาอุณหภูมิของการแช่เมล็ดต่ออัตราการงอกพบว่าเมล็ดทานตะวันที่แช่น้ำด้วยอุณหภูมิ  50องศาเซลเซียส อัตราการงอกที่ดีที่สุดคิดเป็น  100 เปอร์เซ็นต์  เนื่องจากเมล็ดทานตะวันมีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็งและหนามีสารบางชนิดหุ้มอยู่เช่นคิวตินหรือซูเบอริน น้ำซึมผ่านได้ยากการใช้น้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิ 50องศาเซลเซียสไปกระตุ้นให้เมล็ดพันธุ์ตื่นตัว กระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาเคมีและขบวนการเมแทบอลิซึม ในเบื้องต้น เมล็ดทานตะวันดูดน้ำเข้าไปทำให้เปลือกเมล็ดอ่อนนุ่ม ทำให้เมล็ดพองโตขึ้น เนื่องจากการขยายของผนังเซลล์และโพรโทพลาสต์ เมื่อเปลือกเมล็ดอ่อนนุ่มทำให้รากแทงผ่านเปลือกได้สะดวกมากขึ้น
2.ผลการศึกษาอัตราส่วนของดินผสมมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นอ่อนทานตะวันพบว่าดินผสมที่มีอัตราส่วนของแกลบดำ ขุยมะพร้าว  มูลสัตว์ซากพืช 4:1:3 มีผลต่อผลการเจริญเติบโตของต้นอ่อนทานตะวันมากที่สุด เนื่องจากดินผสมอัตราส่วน4:1:3เป็นดินที่เกิดจากการผสมของแกลบดำขุยมะพร้าว  มูลโคมูลไก่และซากพืชที่เน่าเปื่อย เข้าด้วยกันซึ่งมีจำนวนมูลโคมูลไก่และซากพืชที่เน่าเปื่อยจำนวน 3 ส่วน มากกว่าดินผสมอัตราส่วน 4:1:2มีจำนวนมูลโคมูลไก่และซากพืชที่เน่าเปื่อยจำนวน 2 ส่วน และดินผสม อัตราส่วน 4:1:1มีจำนวนมูลโคมูลไก่และซากพืชที่เน่าเปื่อยจำนวน 1 ส่วนจึงทำต้นอ่อนทานตะวันเจริญเติบโตได้ดีกว่า
        3. ผลการศึกษาปริมาณแสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นอ่อนทานตะวัน พบว่าต้นอ่อนทานตะวันที่ไม่ได้รับแสงมีการเจริญเติบโตได้ดีกว่าเนื่องจากต้นอ่อนทานตะวันที่อยู่ในที่มืดไม่มีการสังเคราะห์ด้วยแสงจึงทำให้ลำต้นอวบ อ่อน ใบมีสีเหลือง ส่วนต้นอ่อนทานตะวันที่วางไว้ในที่ร่มมีการสังเคราะห์ด้วยแสงใบจึงมีสีเขียว ลำต้นเรียวเล็ก
4. ผลการศึกษาปริมาณแสงมีผลต่อคลอโรฟีลล์ของต้นอ่อนทานตะวันพบว่าต้นอ่อนทานตะวันที่วางไว้ในที่ร่มมีใบสีเขียว(คลอโรฟีลล์)มากกว่าใบของต้นอ่อนทานตะวันอ่อนที่ไว้ในที่มืดเนื่องจาก การเพาะเมล็ดทานตะวันจะมีการให้รับแสง ทำให้เกิดการสังเคราะห์แสงในใบของต้นอ่อนทานตะวันจึงทำให้มีคลอโรฟิลล์สูง จึงเหมาะในการนำมาปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ


ข้อเสนอแนะ
1. ควรทำโครงงาน การศึกษาการเพาะต้นอ่อนถั่วลั่นเตา หรือพืชตระกูลถั่วชนิดอื่น